อยากคว้า IELTS คะแนนสูง ต้องรู้จัก
"CEFR คืออะไร?”

Common European Framework of Reference for Languages

Westminster IELTS Promotion รับส่วนลดและสิทธิพิเศษมากกว่าใคร ติดต่อผ่านไลน์เท่านั้น คลิ๊กเลย

CEFR คืออะไร?

CEFR (Common European Framework of Reference for Languages)

CEFR หรือชื่อเต็ม Common European Framework of Reference for Languages เป็นการวัดระดับทักษะทางด้านภาษาอังกฤษมาตรฐานสากลของยุโรปที่ใช้อธิบายความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในทวีปยุโรปและในกลุ่มประเทศที่นิยมใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ยิ่งไปกว่านั้น CEFR ยังเป็นมาตรฐานที่สามารถวัดระดับทักษะได้อย่างแม่นยำ โดยเปรียบเทียบกับการวัดความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษแบบอื่นๆ
ด้วยความละเอียดของ CEFR ที่แบ่งการวัดออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่ A1, A2, B1, B2, C1 และ C2 (ละเอียดมาก)
มากไปกว่านั้นด้วยการออกแบบมาอย่างดี จึงทำให้สามารถใช้ CEFR ในการวัดระดับทักษะของภาษาอื่นอีก เช่น เยอรมัน ภาษาเอสโตเนีย ฯลฯ เรียกได้ว่าสามารถใช้ได้กับภาษาใดก็ได้ในยุโรปเลยทีเดียว

 

เนื้อหาที่น่าสนใจของเราในบทความนี้

จุดเริ่มต้นของ CEFR (Common European Framework of Reference for Languages)

 

โครงสร้างระดับต่าง ๆ ของ CEFR (A1 ถึง C2)

ด้วยความละเอียดของการวัดที่เริ่มตั้งแต่ระดับ Beginner จนถึง Advanced แบ่งเป็น 6 ระดับ ได้แก่

 

A1 – Beginner (ระดับเริ่มต้น)

 

A2 – Elementary (ระดับพื้นฐาน)

 

B1 – Intermediate (ระดับปานกลาง)

 

B2 – Upper-Intermediate (ระดับสูงกว่าปานกลาง)

C1 – Advanced (ระดับชำนาญการ)

C2 – Proficient (ระดับใกล้เจ้าของภาษา)

ทำไมการเข้าใจ CEFR ถึงสำคัญต่อการสอบ IELTS?

ความเชื่อมโยงระหว่าง CEFR และ Band Score ของ IELTS

ระดับ CEFR สามารถเทียบหรือแปลงเป็นระดับคะแนน IELTS ได้ดังนี้

    • B1 = 4.0 – 5.0
    • B2 = 5.5 – 6.5
    • C1 = 7.0 – 8.0
    • C2 = 8.5 – 9.0

แน่นอนว่าด้วยความแม่นยำและความละเอียดจึงทำให้ผลที่ได้มาจากการเทียบ CEFR เป็น IELTS Band Score นั้น บ่งบอกระดับทักษะของผู้ทดสอบได้อย่างแม่นยำ จึงเป็นจุดสำคัญที่มีส่วนช่วยในการวางแผนการฝึกฝน การเตรียมตัว และการแก้ไข เพื่อให้สามารถพัฒนาแต่ละทักษะ (การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน) ไปยังเป้าหมายคะแนนที่ต้องการได้ เรียกได้ว่า “ตรงจุด ไม่เสียเวลา”

 

การกำหนดเป้าหมายการสอบโดยใช้ CEFR

แน่นอนว่าในทางกลับกัน หากมีเป้าหมาย IELTS Band Score ที่ต้องการแล้ว ก็สามารถเทียบกลับมาเป็น CEFR เพื่อสร้างเส้นทางการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพได้เช่นกัน แน่นอนว่าทักษะทางด้านภาษาที่ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน นั้น แต่ละคนมีความถนัดในแต่ละด้านแตกต่างกันไป ซึ่งคะแนนที่ได้ก็คือ ค่าเฉลี่ยของ 4 ทักษะนั้นนั่นเอง ความหมายก็คือ การค่อยๆขยับระดับของแต่ละทักษะขึ้นไปอย่างมีทิศทางและมีความสอดคล้องกัน เพื่อให้การเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความเข้าใจในหลักภาษา สามารถต่อยอดและรองรับกับการใช้ภาษาในระดับสูงได้

หลายครั้งอาจเกิดความเข้าใจอย่างผิดๆ ด้วยการมุ่งเน้นเรียนรู้ ท่องจำ แต่คำศัพท์ระดับ C2 โดยคิดว่าการใช้แต่คำศัพท์ระดับสูงก็จะได้คะแนนสูงตามมา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนอกจากจะไม่ได้คะแนนสูงตามเป้าแล้ว ยังจะทำให้ภาพลักษณ์หรือลักษณะการพูดเหมือนหุ่นยนต์อีกด้วย

 

วิธีพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษตามระดับ CEFR

เทคนิคการเรียนสำหรับผู้เริ่มต้น (A1-A2)

ในความรู้สึกของผู้เริ่มต้น (A1-A2) การเรียนภาษาอังกฤษอาจดูเป็นเรื่องที่ท้าทาย เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วครูที่เป็น Native Speaker หรือผู้เชี่ยวชาญที่เป็น Bilingual นั้น สามารถทำให้การเรียนรู้เป็นไปได้อย่างสนุกและมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังสามารถใช้เทคนิคเพิ่มเติมในการช่วยเสริมการเรียนรู้ เช่น

การเลือกใช้สื่อการเรียนที่เหมาะสม

  • หนังสือสำหรับผู้เริ่มต้น ซึ่งส่วนใหญ่หนังสือประเภทนี้จะมีภาพประกอบคำ/ประโยค และการใช้ภาษาที่ไม่ซับซ้อน ทำให้จำง่าย เข้าใจง่าย และทำให้รู้สึกว่าการเรียนรู้ด้านภาษาไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากอะไรเลย

  • แอปพลิเคชันการเรียนภาษา ในปัจจุบันมีแอพฯด้านภาษาให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น iSX (Independent Self-study System), ELSA Speak และอื่นๆ

 

การฟังและการพูดอย่างสม่ำเสมอ

  • การฟังเพลงภาษาอังกฤษ แน่นอนว่าการฟังเพลสากลงหรือดูคลิปวิดีโอที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษ จะเพื่อช่วยพัฒนาทักษะด้านการฟังได้เป็นอย่างดี

  • การพูดกับเพื่อน การหาโอกาสพูดภาษาอังกฤษกับเพื่อนหรือเข้ากลุ่มสนทนาเพื่อฝึกฝนการพูดให้คุ้นชิน ผิดถูกไม่เป็น ขอแต่กล้าใช้ กล้าพูดเป็นพอ

 

การเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ทุกวัน

  • การใช้บัตรคำศัพท์ (Flashcards) เทคนิคการสร้างบัตรคำศัพท์ (Flashcards) นิยมมากกกในผู้เริ่มต้นท่องคำศัพท์ ด้วยความง่ายและความสนุกในการจำคำใหม่ ๆ โดยเขียนคำศัพท์และความหมายไว้บนบัตรและนำมาท่องหรือท้ากันกับเพื่อน

  • การตั้งเป้าหมายคำศัพท์ การท่องคำศัพท์ใหม่ๆโดยมีเป้าหมายจำนวนคำในแต่ละวัน อาจประมาณ 5-10 คำต่อวัน ซึ่งขอแนะนำให้ท่องเป็นหมวดหมู่จะดีกว่าท่องจำตามตัวอักษะ

  • การเรียนรู้ 12 tense ในภาษาอังกฤษ (The 12 Basic English Tenses)
    12 tense ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 3 หมวดหลัก ได้แก่ Present, Past, และ Future โดยในแต่ละหมวดมี 4 รูปแบบ คือ Simple, Continuous, Perfect, และ Perfect Continuous

    การเข้าใจ tense ทั้ง 12 จะช่วยให้เข้าใจและสื่อสารได้อย่างชัดเจนถูกต้องตามหลักภาษาอังกฤษ

 

เทคนิคการเรียนสำหรับระดับกลาง (B1-B2)

การเลือกใช้สื่อการเรียนที่เหมาะสม

  • หนังสืออ่านหนังสือและบทความ เลือกบทความที่สนใจอ่านเช่น ข่าว(NEWS) เรื่องสั้น หรือหนังสือที่มีคอลัมน์คำศัพท์สำคัญของหน้านั้นๆ ให้เราได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆไปด้วย
  • แอปพลิเคชันการเรียนภาษา ทั้ง iSX (Independent Self-study System), ELSA Speak เป็นแอพฯที่ครอบคลุมการฝึกฝนในทุกระดับ ดังนั้น สามารถปรับการฝึกฝนไปยังระดับที่ต้องการได้เลย

 

การฝึกฟังอย่างต่อเนื่อง

  • การฟังพอดแคสต์หรือรายการวิทยุ การเลือกฟังพอดแคสต์ที่มีการพูดในระดับที่สามารถเข้าใจได้ง่าย เช่น TED Talks หรือรายการข่าวทั่วไปในภาษาอังกฤษ
  • การดูหนังหรือซีรีส์ การดูภาพยนตร์หรือซีรีส์ภาษาอังกฤษโดยใช้ซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษ เพื่อช่วยในการเข้าใจบทสนทนา รู้ว่าคำที่ได้ยิน จริงๆ คือคำว่าอะไรจากซับ

 

การฝึกเขียนอย่างต่อเนื่อง

  • การเขียนไดอารี่ แน่นอนว่าการฝึกเขียนเรื่องราวของตัวเองในแต่ละวันนั้น จะช่วยให้พัฒนาทักษะการเขียนได้เป็นอย่างดี จากการเขียน การเล่าเรื่อง อย่างเป็นเรื่องเป็นราว การผนวกคำศัพท์เข้ามาเพื่อที่จะเล่าเรื่องให้ได้ใจความ

 

การเรียนรู้เทคนิคต่างๆ

  • เทคนิคการฟัง เช่น การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) หรือ การฝึกฟังซ้ำ (Repetitive Listening)
  • เทคนิคการพูด เช่น เทคนิคการตั้งคำถาม (Questioning Technique) หรือ การฝึกพูดกับตัวเอง
  • เทคนิคการอ่าน เช่น อ่านอย่างมีจุดหมาย (Purposeful Reading) หรือ อ่านหลากหลายประเภท (Diverse Reading)
  • เทคนิคการเขียน เช่น การใช้ Mind Map หรือ Outline หรือ การเขียนแบบ Draft แรก

 

เทคนิคการเรียนสำหรับระดับสูง (C1-C2)

การฝึกทักษะด้านการอ่าน

  • การอ่านวรรณกรรมและเอกสารที่ซับซ้อน การอ่านหนังสือ วรรณกรรม หรือเอกสารทางวิชาการที่มีความซับซ้อน เพื่อพัฒนาความเข้าใจในโครงสร้างภาษาระดับสูงและเพิ่มคลังศัพท์ระดับสูง ที่นิยมใช้ในการอธิบาย การบรรยาย การเปรียบเปรยเปรียบเทียบ และการวิเคราะห์

 

การฝึกทักษะด้านการเขียน

  • การเขียนเรียงความหรือบทความ การฝึกเขียนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เรียงความ บทความ หรือเขียนไดอารี่ เพื่อพัฒนาทักษะการใช้ภาษาและการคิดวิเคราะห์

 

การฝึกทักษะด้านการฟัง

  • การฟังข่าวที่เน้นการวิเคระาห์ เช่น ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการเมือง ข่าวหุ้น หรือข่าวกีฬา แน่นอนว่าข่าวพวกนี้จะมีการวิเคราะห์ การพูดถึงสถิติที่ผ่านมา การเดาหรือทำนายถึงอนาคต ทำให้มีความซับซ้อนทางด้านภาษามากกว่าข่าวทั่วไป
  • การดูหนังหรือซีรีส์ ด้วยการเปิดแต่เสียงพากษ์ภาษาอังกฤษ โดยไม่มีซับ โดยอาจเริ่มจากหนังที่คุ้นเคย ดูบ่อย หรือเป้นหนังที่ไม่ซับซ้อนก่อน จะช่วยให้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้นในช่วงแรก

 

การฝึกทักษะด้านการพูด

  • iSX (Independent Self-study System) แอพฯ ฝึกภาษาด้วย AI จาก Westminster ที่พัฒนามาเพื่อการเรียนรู้ด้านภาษาอังกฤษทุกทักษะในทุกระดับภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    จัดเต็มครบทั้ง Features & Functions ที่เหมือน ข้อสอบจริง และคลังข้อสอบครบทุกพาร์ท! กว่า 10,000 ข้อ อีกทั้งยังนำเทคโนโลยี AI ใหม่ล่าสุดมาใช้ในการวิเคราะห์คะแนนพาร์ท Speaking อย่างละเอียด และประเมินผลออกมาในระดับคะแนน CEFR อีกด้วย
    จุดเด่น
      • Grammar highlight วิเคราะห์การใช้ Grammar และแนะนำจุดที่ผิด
      • Fluency ประเมินความคล่องแคล่วในการพูด
      • Pronunciation วิเคราะห์การออกเสียง
      • Intonation ประเมินการออกเสียงสูง-ต่ำ
      • Vocabulary วิเคราะห์การเลือกใช้ Level ของคำศัพท์
  • การเข้าร่วมการแข่งขันด้านการพูด แน่นอนว่าในการฝึกพูดของทักษะระดับสูงนั้น แค่การพูดคุยอาจยังไม่พอ แต่อาจขยับไปลองเข้าร่วมการอภิปราย การโตวาตี ในภาษาอังกฤษ อาจเป้นคำตอบมากกว่าในกรณีนี้

 

สอบถามรายละเอียด iSX (Independent Self-study System) ได้ที่ Westminster School of English

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CEFR (Common European Framework of Reference for Languages)

CEFR คืออะไรและทำไมถึงสำคัญ?

CEFR (Common European Framework of Reference for Languages) เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้วัดระดับความสามารถทางภาษา แบ่งออกเป็น 6 ระดับ ตั้งแต่ A1 (พื้นฐาน) ถึง C2 (เชี่ยวชาญ) CEFR ช่วยให้ผู้เรียนภาษาเข้าใจระดับความสามารถของตนเองและวางแผนพัฒนาทักษะได้อย่างมีเป้าหมาย

 

ระดับ CEFR กับคะแนน IELTS มีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

CEFR และ IELTS มีความสัมพันธ์ที่ช่วยให้นักเรียนสามารถตั้งเป้าหมายการสอบได้ เช่น ระดับ B2 ของ CEFR มักจะเทียบเท่ากับ Band Score 5.5-6.5 ของ IELTS การรู้ระดับ CEFR จะช่วยให้คุณทราบว่าต้องปรับปรุงทักษะใดบ้าง

 

จะวางแผนการเรียนภาษาอังกฤษตามระดับ CEFR ได้อย่างไร?

เริ่มจากการประเมินระดับปัจจุบันของคุณ จากนั้นกำหนดเป้าหมาย เช่น จาก A2 ไป B1 ใช้ทรัพยากรการเรียน เช่น หนังสือที่ออกแบบตาม CEFR และแอปพลิเคชันเพื่อพัฒนาทักษะที่ยังขาด

 

CEFR ช่วยในการเตรียมสอบ IELTS อย่างไร?

การเข้าใจระดับ CEFR จะช่วยให้คุณจัดการเวลาการเรียนรู้ได้ดีขึ้น โดยมุ่งเน้นทักษะที่จำเป็น เช่น ถ้าคุณอยู่ระดับ B1 คุณอาจต้องพัฒนาการเขียนและการฟังเพื่อเข้าสู่ระดับ B2 ซึ่งจะช่วยให้ Band Score สูงขึ้น

 

การทดสอบ CEFR ต่างจาก IELTS อย่างไร?

CEFR เป็นมาตรฐานที่ประเมินระดับภาษาโดยรวม ในขณะที่ IELTS เป็นการสอบเฉพาะเจาะจงที่วัดทักษะทั้ง 4 ด้าน (ฟัง, พูด, อ่าน, เขียน) อย่างละเอียด อย่างไรก็ตาม CEFR เป็นเครื่องมือที่ช่วยวางแผนการเตรียมตัวสอบ IELTS ได้อย่างดีเยี่ยม

 

สรุป CEFR ช่วยให้คว้า IELTS Band สูงได้อย่างไร

CEFR หรือ Common European Framework of Reference for Languages กรอบอ้างอิงมาตรฐานสากลที่ใช้ในการประเมินความสามารถด้านภาษา โดยแบ่งระดับความเชี่ยวชาญออกเป็น 6 ระดับ (A1, A2, B1, B2, C1 และ C2) เริ่มตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงระดับที่เทียบเท่าเจ้าของภาษา CEFR ไม่ได้ใช้เฉพาะกับภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ประเมินภาษาอื่น ๆ ในยุโรปได้เช่นกัน

โดยในบริบทของการสอบ IELTS ระดับ CEFR สามารถเชื่อมโยงกับคะแนน Band Score ได้ เช่น B1 เทียบเท่าคะแนน 4.0-5.0 และ C2 เทียบเท่าคะแนน 8.5-9.0 ซึ่งช่วยให้ผู้สอบสามารถวางแผนการพัฒนาทักษะภาษาอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน พร้อมทั้งใช้เทคนิคการเรียนรู้ที่เหมาะสมในแต่ละระดับ ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง การอ่านบทความ การอ่านวรรณกรรม การใช้แอปพลิเคชันฝึกภาษา หรือการเขียนบทความ

การเรียนรู้ตามแนวทาง CEFR จะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในหลักภาษาอย่างลึกซึ้ง และพัฒนาทักษะให้สอดคล้องกับเป้าหมายการใช้ภาษาในชีวิตจริงได้อย่างเต็มที่

 

คอร์ส IELTS การันตี 100% ที่ Westminster

พัฒนามาเพื่อให้นักเรียนของเราสอบได้คะแนนตามที่คาดหวัง และได้ผลลัพธ์จริง

จากหลักสูตรที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาบุคลากรผู้สอน พร้อมการเอาใจใส่จากเจ้าหน้าที่ของสถาบันเวสท์มินส์เตอร์ จึงทำให้

 

“หลักสูตรของเราประสบความสำเร็จ”

 

พิสูจน์ด้วยผลลัพธ์ของนักเรียนเรา สอบได้ IELTS 7.0-9.0

 

ประธานหลักสูตร

อาจารย์ Richard Hallows

ผู้เชี่ยวชาญด้าน IELTS ระดับโลกที่สร้างหลักสูตร IELTS ให้กับนักเรียนไทย

การันตีคุณภาพด้วยรางวัล British Council IELTS Partner of the Year ถึง 4 ปีซ้อน

รางวัล British Council IELTS Partner of the Year เป็นสิ่งที่รับประกันได้ว่าสถาบันฯของเราเป็นผู้นำในด้าน IELTS อย่างแท้จริง และมีความมุ่งมั่นในการถ่ายทอดหลักสูตรเตรียมสอบ IELTS และการจัดสอบที่มีคุณภาพตามมารฐานของ British Council ที่เป็นเจ้าของข้อสอบ IELTS ทั่วโลก

 

Westminster หวังว่าบทความนี้จะคอยเป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนที่กำลังพยายามตามล่าความฝันอยู่ ขอให้ประสบความสำเร็จนะคะ

หลักสูตร IELTS ติวเข้มที่พิสูจน์แล้วด้วยผลสอบ IELTS 6.5-7.5 ยกชั้น ในคอร์ส Advanced IELTS

 

เราเป็นศูนย์สอบ IELTS อย่างเป็นทางการของ British Council รูปแบบ Computer-delivered

บริการให้คำแนะนำในการศึกษาต่อต่างประเทศโดยผู้เชี่ยวชาญผู้มีประสบการณ์กว่า 10 ปี ปรึกษาฟรีทุกขั้นตอน

 

Copyright © 2024 Westminster International Co., Ltd All Rights Reserved.